แฟชั่น กับ ความหมาย(Fashion & Mean)
แฟชั่น เป็นคำที่มาจากภาษาอังกฤษว่า Fashion แปลว่า สมัยนิยม หรือ วิธีการที่นิยมกันทั่วไปชั่วระยะเวลหนึ่ง คำๆนี้ ได้รับการยอมรับจะเป็นค่านิยม จึงได้เกิดเป็นภาษาใหม่ ในยุคแรกเริ่มของการถ่ายภาพ กระบวนการถ่ายภาพมีความยุ่งยากมาก ค่าใช้จ่ายสูง ประสิทธิภาพของภาพถ่ายค่อนข้างต่ำ เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีของการถ่ายภาพได้รับการพัฒนาให้สูงขึ้นทำให้ราคาต้นทุนของการถ่ายภาพถูกลงกว่าเดิม การรับจ้างถ่ายภาพ จึงมีราคาลดลงจากเดิมด้วย เป็นเหตุให้ ประชาชนที่มีรายได้ไม่มาก ทั้งชนชั้นล่าง ชนชั้นกลาง มีโอกาสที่จะได้มีภาพถ่ายของตนเอง หรือ ของครอบครัวไว้ครอบครอง
เมื่อย้อนกลับไป ยุค 80 งานแฟชั่นภาพ และ แฟชั่นเสื้อผ้าถูกพิมพ์ลงในนิตยสาร และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ปารีส กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตธุรกิจดังกล่าว
ปี ค.ศ.1820 การถ่ายภาพได้รับการพัฒนามาโดยตลอด เป็นที่นิยมสูงสุดเมื่อภายหลังมีการนำงานแฟชั่นถ่ายรูปเข้ามาอยู่ในกระแสของสังคม งานถ่ายภาพเพื่อแนะนำเสื้อผ้าถูกตีพิมพ์ในนิตยสารต่างๆในยุโรป และ แฟชั่นเริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 20 การพัฒนาแฟชั่นในแต่ละยุคสมัยต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น การเมือง เศรษฐกิจ ภูมิอากาศ ฯลฯ ศตวรรษ 20 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
ปี ค.ศ.1920-1930 (ยุค แฟลปเปอร์(Flapper)) โดยผู้หญิงสวมกระโปรงสั้นเป็นครั้งแรก หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจตกต่ำ ผู้หญิงจะต้องออกจากบ้านเพื่อหางานทำเลี้ยงชีพ ดังนั้นเสื้อผ้าจึงเปลี่ยนไปตามเหตุการณ์ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับผู้สวมใส่มากขึ้น จึงมีกางเกงเกิดขึ้น และได้รับความนิยม แฟชั่นของโลกได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นสากล เพราะการติดต่อสื่อสารของโลกตะวันตกและตะวันออกเป็นไปได้เปิดกว้างขึ้น มีการไปมาหาสู่กันทำให้แฟชั่นของโลกตะวันตกเข้ามามีบทบาทกับสังคมไทยมากขึ้น
ลักษณะของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของแต่ละยุค เรียกว่า สไตล์ (Style) แต่ละคนมีสไตล์การแต่งกายเป็นของตนเอง เช่น สไตล์พั้งค์(Punk),สไตล์ราซี่(Racy or Provocative) เป็นต้น
ปี ค.ศ.1900-1920 แฟชั่นเสื้อผ้ายุค Art Nouvean ผลงานดังของได้แก่ดีไซเนอร์ Paul Poire,Jean Paquin, Mariano Fortuny.
ปี ค.ศ.1910-1920 แฟชั่น Art Deco ถูกแทนที่แฟชั่นแบบเก่าๆ มีดีไซเนอร์ดัง ได้แก่ Coco Chanel
ปี ค.ศ.1920-1930 แฟชั่นยุค Art Deco ซึ่งมีดีไซเนอรดังๆ ได้แก่ Coco Chanel,Madeleine Vionnet,Lanvin,Edward Molynex, Erte, Sonia Delauney และ Jean Patau
ปี ค.ศ.1930-1940 แฟชั่นยุค Ready-To-Wear(RTW) โดยมีหัวหอกจากปารีส ได้แก่ Coco Chanel,Elsa Schiaparelli เป็นแกนนำ
ลักษณะการแต่งกายแต่ละยุค
เป็นยุคของการเปลี่ยนแปลง มีการปฏิวัติในอเมริกาและฝรั่งเศส สาวในยุคนี้จึงได้รับอิทธิพลการแต่งกายแบบกรีกโบราณ เพราะเชื่อว่าเป็นภาพลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงประชาธิปไตย
ลักษณะชุด:ชุดยาว กรอมพื้น ไม่ใส่คอร์เซ็ต ใส่เอวสูงแบบรัดใต้อก พวกผู้ดีจะใส่ชุดสีขาวตลอด พวกชั้นต่ำจะใส่สีพาสเทล ใส่ชุดสีขาวเฉพาะงานเลี้ยงเพราะเปื้อนง่าย ผ้านุ่มบางพริ้วๆเป็นผ้าฝ้าย มัสลิน หรือ ผ้าไหม มักใส่ผ้าคลุมไหล่ หรือ ถุงมือยาว ไว้ผมสั้น และใส่หมวก
2.ยุคโรแมนติก(ค.ศ.1815-1840)
หลังสงครามผ่านพ้นไปคนก็หันมาแต่งการแบบอังกฤษ(โกลมาเนีย(Anglomania)) ยุคนี้ผู้หญิงถูกเน้นให้เห็นว่าเป็นเพศที่อ่อนแอกว่า และสวยงามชอบการแต่งตัว
ลักษณะชุด:ฟูฟ่องตลอดทั้งตัว โดยลักษณะพิเศษอยู่ที่ ไหล่ลู่ลง เอวคอ ผายออกที่สะโพกเพื่อเน้นสตรีเพศ จะเห็นว่า ชุดแบบเดิมถูกแต่งให้ดูดีขึ้นโดยปรับเอวสูงค่อยๆต่ำลง กระโปรงค่อยๆพองอลังการ ตกแต่งประดับประดาอย่างหรูหรา
3.ยุควิคตอเรียตอนต้น(ค.ศ.1840-1870)

ปี ค.ศ. 1837 พระราชินีวิคตอเรียขึ้นครองราชย์ มีลูก 9 คน เธอเป็นต้นแบบของผู้หญิงแบบถ่อมตน อุทิศตนเพื่อครอบครัว ยึดมั่นศิลธรรม รสนิยมเธอเป็นแรงบันดาลใจให้สาวๆยุคนั้นนแต่งตัวตาม
ลักษณะชุด: ลักษณะไหล่จะลู่ลง ลำตัวแคบด้วยการรัด คอร์เซ็ต กระโปรงบานพอสมควร ยาวคร่อมพื้น และค่อยๆพองขึ้นเรื่อยๆ เป็นต้นกำเนิดของ สุ่ม(Cage Crinoline)เพื่อช่วยให้กระโปรงบานขึ้น และไม่หนัก หมวก นิยมแบบ Deep bonnets ซึ่งเป็นหมวกแบบปิดหน้าจะมองเห็นแบบเต็มหน้าเมื่อหันหน้าเข้าหากันตรงๆเท่านั้น เป็นการแสดงถึงความถ่อมตัว
3.ยุควิคตอเรียตอนปลาย(ค.ศ.1870-1890)

พระราชินีวิคตอเรีย สามีตาย เธอเลยเก็บตัวและใส่แต่ชุดดำ สีดำเลยเป็นที่นิยมขึ้นมา
ลักษณะชุด:รูปทรงเริ่มเน้นสัดส่วน แต่ปกปิดร่างกายในเวลาเดียวกัน ช่วงบนเข้ารูปสีเข้ม มีการเปลี่ยนจากสุ่มมาเป็นที่ถ่างกระโปรง จะไม่ถ่างรอบด้านเหมือนเดิมแต่จะถ่างไปด้านหลังแทน
4.ยุคอาร์ตนูโว(ค.ศ. 1890-1911)

ยุคทองของชนชั้นสูง ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย ยุคนี้ผู้หญิงมีบทบาทมากขึ้น เริ่มทำงาน มีส่วนในกิจกรรมเพื่อนสังคม
ลักษณะชุด : โดยรวมแล้วใส่แบบสบายๆ ไหล่ตั้งตรงสง่า ไม่ลู่ลงเหมือนแบบก่อน มีการตัดสูทแบบกระโปรง ยังใช้ คอร์เซ็ต แต่มีการเปลี่ยนรูปแบบให้เข้ากับสรีระมากขึ้น
5.ยุค 1910s-WWI(ค.ศ.1911-1919)

เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้ชายไปรบ ผู้หญิงทำหน้าที่หลายอย่างแทนผู้ชาย
ลักษณะชุด: ด้วยกระแสสงคราม ทำให้ชุดมีลักษณะของแนว military เข้ามาผสมผสาน สังเกตจากคอเสื้อแบบปกเสื้อแบบทหาร กระโปรงสั้นเล็กน้อย ต่อมากระโปรงเริ่มแคบลง เครื่องประดับไม่ค่อยใส่ เรียกว่าเน้นการใช้งานมากกว่า
6.ยุค 1920s(ค.ศ. 1920-1929)

สงครามสงบ เข้าสู่ยุค Jazz Age เป็นยุคของคนรุ่นใหม่ หนุ่มสาว ซึ่งขึ้นมารุ่งเรือง มีฐานะ ผู้หญิงทำงานช่วงสงครามก็ไม่อยากกลับไปเป็นแม่บ้านอีก ยังคงทำงานต่อไปอิสระเสรีมากกว่าเดิม
ลักษณะชุด: ช่วง หลังสงครามชุดที่มาแรงที่สุด เป็นสัญลักษณ์ของยุคนี้คือ Flapper Dress เป็นชุดลำตัวตรง หน้าอกแบบไม้กระดาน กระโปรงสั้นลง
7.ยุค 1930s(ค.ศ. 1930-1939)
เหมือนยุคที่แล้ว หนุ่มสาวเริ่มเบ่งบาน ช่วงนี้เศรษฐกิจตกต่ำ แต่ะไม่กระทบกับผู้ที่ร่ำรวย วิทยาการใหม่ๆถูกคิดค้น เช่น ผ้าไนลอน ผ้าเรยอง ซิป ศัลยกรรมพลาสติก การดัดผม เป็นต้น

ลักษณะชุด :ชุดโดยรวมมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น ทรวดทรงเข้ารูป กระโปรงพลีท ชุดเริ่มหลากหลาย
8.ยุค 1940s(ค.ศ. 1940-1949)

สงครามโลกครั้งที่ 2 ภาวะขาดแคลน ต้องใช้ระบบปันอาหาร เสื้อผ้าลักษณะชุด : เสื้อผ้าถูกตัดให้เข้ากับการใช้งาน สีทึมๆแห้งๆใส่เหมือนกันหมด กระโปรงแคบๆ แฟชั่นไม่ค่อยพัฒนา แฟชั่นหมวกที่ฮิต คือ ผ้าคาดผมใส่เวลาทำงานกลางวัน และรองเท้าพื้นยางยุค 1940s(ค.ศ. 1940-1949)สงครามโลกครั้งที่ 2 ภาวะขาดแคลน ต้องใช้ระบบปันอาหาร เสื้อผ้า
9.ยุค 1950s(ค.ศ. 1950-1959)
เศรษฐกิจรุ่งเรืองขึ้น ชนชั้นกลางและคนทั่วไปเริ่มมีเงิน มีเทรนด์แฟชั่นเป็นของตัวเอง ความหลากหลายมีมากขึ้น
ลักษณะชุด : ช่วงแรกๆ แต่งกายแบบทรงดินสอแคบ หลังจากนั้น โดดเด่น คือ กระโปรงบานยาวคลุมเข่า ข้างในเสริมผ้าตาข่ายหลายๆชั้น เน้นทรวดทรงองค์เอว ชุดชั้นในยุคนี้บางและใส่สบาย ราคาถูกลง

Cr.chickyfashion
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น